วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ถนนสายหัวใจคอนที่5

ตอนที่ 5
            ตอนนี้ในบ้านก็เลยมีสมาชิกใหม่อีกหนึ่งตัว  ลูกแก้วเลี้ยงเจ้าจิงโจ้จนอายุได้ 6 เดือน เพื่อนก็เอาสุนัขตัวเล็กสีขาวดำมาฝากไว้สาเหตุก็มาจากเพื่อนเลี้ยงมันไว้ในแฟลต พอเพื่อนออกไปทำงานมันก็ร้องเสียงดังจนข้างห้องไม่พอใจ มันชื่อ “ปุ๊กลุ๊ก” มันเป็นสุนัขที่น่าสงสารมากขี้กลัวพอได้ยินเสียงดังมันก็จะวิ่งเข้าไปแอบใต้ตู้เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออกมาต้องเอื้อมมือเข้าไปฉุดกันออกมาอย่างทุลักทุเล และสาเหตุก็น่าจะมาจากการที่มันถ่ายไม่เป็นที่พอจะโดนตีก็เลยกลัวต้องแอบหนีไปอยู่ใต้ตู้  ลูกแก้วใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่จะทำให้มันไว้ใจและรักลูกแก้วได้  ตอนนี้ลูกแก้วก็เลยต้องรับหน้าที่ดูแลมันทั้งสามตัวในเวลาเดียวกันพวกมันรักกันมากไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน  เวลาวันหยุดลูกแก้วนั่งกินข้าวพวกมันก็จะมานั่งเรียงกันตามลำดับเป็นขั้นบันไดจากเจ้าบราวน์เป็นเจ้าจิงโจ้และเจ้าปุ๊กลุ๊กตามลำดับ  พอตอนเย็นพวกมันก็จะวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน  ตอนนี้เจ้าบราวน์มันมีเพื่อนนานๆครั้งมันถึงจะหนีออกไปนอกบ้านสักครั้งแต่คราวนี้มันคงไม่ต้องห่วงบ้านแล้วเพราะมันจะรู้ว่ามีคนคอยเฝ้าบ้านแทนมันๆก็เลยหายไปบางครั้ง 2-3 วันติดกัน เวลากลับมาก็กลับมาด้วยสภาพที่ยับเยินหน้าบวม, ตาปิด, ขากระเพลก  พอลูกแก้วเห็นก็ตกใจมากรีบพามันไปหาหมอแต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมขึ้นรถ พออุ้มขึ้นไปก็กระโดดลงมาจนลูกแก้วโมโหก็เลยพูดไปว่า “ไม่ไปก็อย่าไปปล่อยให้ตายไปเลย” ลูกแก้วเห็นมันหมอบฟังนิ่งๆ คราวนี้พอลูกแก้วอุ้มมันขึ้นไปมันก็ไม่กระโดดลงมาอีก  ตลอดทางลูกแก้วกอดมันไว้ตลอดแล้วก็บอกกับมันว่าไปหาหมอก่อนแล้วค่อยกลับบ้านกันจะได้ไม่เจ็บแผล  แต่มันคงกลัวเพราะลูกแก้วเห็นน้ำตามันไหลเป็นทางไปตลอดเวลาที่อยู่บนรถพอถึงโรงพยาบาลหมอก็ให้ไปทำประวัติ  นั่งรอสักพักหมอก็เรียกเข้าไปปรากฏว่าสาเหตุที่หน้าตาบวมปิดก็เพราะว่ามันไปกัดกันกับสุนัขนอกบ้านแล้วแผลมันอักเสบจนเป็นหนอง  หมอให้เจาะเอาหนองออกและเนื่องจากแผลที่มันบวมเป่งพอหมอเจาะเข็มลงไปทั้งน้ำเลือดน้ำหนองก็พุ่งออกมาพร้อมกันจนกระเด็นโดนหน้าลูกแก้วกับพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างๆเลยและเหตุการณ์ครั้งนี้มันก็ทำให้เจ้าบราวน์เข็ดไปอีกนานเพราะลูกแก้วไม่เห็นมันออกไปไหนอีกเลย
         ตอนนี้ลูกแก้วโตที่จะรับผิดชอบตัวเองและครอบครัวได้แล้วหน้าที่การงานก็ถือว่ามั่นคง  ลูกแก้วจึงตัดสินใจที่จะสร้างครอบครัวเล็กๆ ตามที่ลูกแก้วฝันไว้  หลังจากที่ลูกแก้วแต่งงานไม่นานลูกแก้วก็มีเจ้าตัวเล็ก  ลูกแก้วจำได้ว่าวันที่ลูกแก้วพาเจ้าตัวเล็กกลับบ้านเจ้าบราวน์มันดีใจมากมันปีนหน้าต่างดูเจ้านายตัวน้อยของมันอยู่ตลอดเวลา  ลูกแก้วมีความสุขมากกับการได้อยู่กับลูกๆและเจ้าเพื่อนสี่ขา  หลายปีผ่านมา....วันนั้นลูกแก้วสังเกตเห็นว่าเจ้าปุ๊กลุ๊กมันไม่ยอมกินอะไรเลยมันนอนนิ่งๆ ลูกแก้วมองดูมันแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะจากลูกแก้วไปเร็วกว่าที่คิด...  เย็นวันนั้นหลังเลิกงานลูกแก้วก็ตั้งใจว่าจะพามันไปหาหมอแต่มันก็สายเกินไปเพราะพอลูกแก้วกลับมาถึงบ้านลูกแก้วก็เห็นมันนอนไม่หายใจแล้วลูกแก้วเอามันไปฝังใต้ต้นชมพู่  ไม่ใช่แต่ลูกแก้วที่เสียใจเจ้าบราวน์กับเจ้าจิงโจ้มันก็เสียใจไม่แพ้กันเพราะพอลูกแก้วนั่งลงมันก็มานั่งลงข้างๆ แล้วก็เอาคางมาเกยบนตักของลูกแก้วๆก็เลยต้องลูบหัวมันเพื่อปลอบใจ  ปุ๊กลุ๊กจากไปปีกว่าเจ้าจิงโจ้ที่อายุอ่อนกว่าเจ้าบราวน์ก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ซึ่งพอเรียกชื่อมันอีกทางมันก็จะเดินไปหาอีกทาง  พอพาไปหาหมอๆก็บอกว่าตาของมันบอดซึ่งเกิดจากอาการของโรคพยาธิหนอนหัวใจ จนในที่สุดเจ้าจิงโจ้มันก็จากลูกแก้วไป  ลูกแก้วจำได้ว่าลูกแก้วร้องไห้เสียใจกับการจากไปของจิงโจ้ไม่แพ้กับเพื่อนๆตัวไหนที่จากไป  ตอนนี้ลูกแก้วรู้แล้วว่าในหัวใจของลูกแก้วนอกจากเจ้าตัวน้อยแล้วมันก็มีเพื่อนสี่ขาอยู่เต็มหัวใจ ส่วนเจ้าบราวน์ตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงตัวเดียวมันเริ่มแก่บางครั้งขนาดเดินๆอยู่ดีก็เป็นลมไปซะเฉยๆ  สามีของลูกแก้วก็เลยไปขอสุนัขหลังอานของเพื่อนมาให้ลูกแก้วเลี้ยงอีกตัว  ตอนแรกลูกแก้วก็ไม่คิดอยากจะเลี้ยงแล้ว  เพราะว่าเมื่อไหร่ที่พวกมันจากไปลูกแก้วจะรู้สึกเจ็บหัวใจเหลือเกินแล้วก็จะต้องร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า  แต่ในที่สุดลูกแก้วก็ต้องแพ้ใจตัวเองอีกอย่างมันคงเป็นเพราะว่ามันเป็นสุนัขที่ขี้อ้อนเหลือเกินเพราะมันพยายามที่จะเข้ามาหาลูกแก้วตลอดเวลา  ลูกแก้วตั้งชื่อให้มันว่า “เจ้ามอม”  เจ้ามอมอยู่กับลูกแก้วได้ 6 เดือนลูกแก้วกับสามีก็ต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างจังหวัด  ลูกแก้วตัดสินใจพาเจ้ามอมไปด้วย  เจ้ามอมมันจะมีสัญชาติญาณของนักล่าเพราะไม่ว่าจะเป็นหนู, งู หรือจิ้งจก, ตุ๊กแก ถ้าเจ้ามอมมันเจอมันเป็นต้องฟัดตายทุกตัว  หลังจากที่ลูกแก้วไปอยู่ต่างจังหวัดไม่นานเจ้าบราวน์ก็เริ่มมีอาการไม่สบาย  แม่บอกกับลูกแก้วว่าตั้งแต่ที่ลูกแก้วไปมันก็ไม่ยอมกินยอมนอน  วันๆมันก็เฝ้ามองไปยังประตูมันรอลูกแก้วกลับบ้านเหมือนทุกวัน
                                                              มนัสนันท์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น